เมนูนำทาง
ประวัติศาสตร์ของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด_(ค.ศ._1969–1986) ไม่กี่ปี หลังจากยุคบัสบี้วิล์ฟ แมคกินเนส โค้ชทีมสำรอง ได้รับการเลื่อนขั้นให้มาคุมทีมชุดใหญ่แทน แมตต์ บัสบี้ ซึ่งเขาเป็นลูกหม้อเก่าของสโมสรหลังจากที่เข้ามาร่วมทีมตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะในช่วงกลางของทศวรรษ 1950 แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะแทนที่ในสิ่งที่บัสบี้เคยทำไว้ได้อย่างรวดเร็ว ยูไนเต็ดเปลี่ยนถ่ายสู่ยุคใหม่ แต่โชคก็ไม่ค่อยเข้าข้างแมคกินเนสเท่าไหร่ แม้ฤดูกาลแรกเขาจะทำทีมได้ถึงอันดับที่ 8 ซึ่งดีกว่าอันดับที่ 11 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่บัสบี้คุมทีม แต่ฤดูกาลถัดมาทีมเกาะกลุ่มอยู่ท้ายตารางเสี่ยงที่จะตกชั้นรวมทั้งยังตกรอบลีก คัพ ด้วยน้ำมือของแอสตันวิลลา ซึ่งขณะนั้นยังเป็นแค่ทีมกลางตารางของฟุตบอลดิวิชั่น 3 ทำให้แมคกินเนสต้องถูกลดไปคุมทีมสำรองอีกครั้ง และในอีกไม่นานเขาก็ได้ลาจากทีมไป
บัสบี้ได้กลับมาคุมทีมอีกครั้ง แต่เป็นการชั่วคราวเท่านั้นและก็สามารถช่วยให้ทีมพ้นจากโซนตกชั้นมาได้ และจบฤดูกาลที่อันดับ 8 แฟรงค์ โอ แฟร์เรลล์ จากสโมสรเลสเตอร์ซิตี ได้กลายมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ หลังจากฤดูกาล 1971 หลังจากถูกปฏิเสธจากจอร์ค สตีน โค้ชของเซลติก ดอน เรวีย์ ผู้จัดการทีมลีดส์ ยูไนเต็ด และ เดฟ เซ็กตัน จากสโมสรเชลซี ในฤดูกาลแรกของแฟร์เรลล์ ทั้ง ๆ ที่ออกสตาร์ท ฤดูกาล 1971-72 ได้อย่างยอดเยี่ยมและก็กลายเป็นความหวังจากแฟน ๆ ว่าเขาจะนำความสำเร็จมาสู่ทีมได้เหมือนกับในยุคของบัสบี้ แต่จากการที่ต้องแพ้ถึง 7 นัด ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมาทำให้ทีมจบอันดับได้แค่ที่ 8 เท่านั้น จบความหวังแชมเปี้ยนอันสวยหรูของครึ่งฤดูกาลแรกไปอย่างน่าเสียดาย แต่ถึงอย่างไรก็มีเรื่องน่ายินดี ตรงที่ทีมได้เซ็นสัญญาคว้านักเตะวัยรุ่นอายุเพียง 22 ปี จาก อเบอร์ดีน ในตำแหน่งกองหลัง มาร์ติน บูชาน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกำลังหลักในการนำพายูไนเต็ดเถลิงความสำเร็จ
ในตอนนี้เองที่ จอร์จ เบสท์ เริ่มสร้างปัญหาให้กับทีม ทั้งการแหกกฏระเบียบและสร้างปัญหาต่าง ๆ นานา อยู่เป็นประจำ หลังจบฤดูกาล 1971-72 ในวันเกิดครบรอบ 26 ปีของเขา เขาได้ประกาศเลิกเล่นฟุตบอล แต่ไม่ทันไร ภายในวันเดียวกันเขาก็ประกาศอีกครั้งว่าจะเล่นฟุตบอลต่อไป
ภายใต้ความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของเบสท์ ยูไนเต็ดก็ต้องดิ้นรนอีกครั้ง ในฤดูกาล 1972–73 ที่ออกสตาร์ทได้อย่างยำแย่ โดยไม่พบกับชัยชนะเลย ใน 9 เกมเริ่มต้น หลังจากนัดที่แพ้ทอตแฮม ฮอตสเปอร์ ด้วยสกอร์ 4-1 ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.1972 ประธานสโมสรหลุย เอ็ดเวิร์ดได้พยายามที่จะปลดโอ แฟร์เรลล์และมีแผนที่จะดึงโจ เมอร์เซอร์ ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ซิตี มาแทนที่ แต่โอ แฟร์เรลล์ ไม่อยู่ในวันที่เอ็ดเวิร์ดกำลังจะประกาศปลดเขาด้วยภารกิจดูฟอร์มนักเตะ ทำให้แผนในการดึงเมอร์เซอร์ วัย 58 ปี เป็นอันต้องถูกยกเลิกไปก่อน
ฟอร์มการเล่นของยูไนเต็ดดีขึ้นบ้าง ซึ่งนั่นทำให้โอ แฟร์เรลล์ ยังคงนั่งอยู่ในเก้าอี้ร้อนตัวนี้ได้ แต่จากการพ่ายแพ้ต่อทีมคู่แข่งหนีตกชั้นคริสตัล พาเลซโดยสกอร์ยับเยินถึง 5-0 ก่อนช่วงคริสต์มาส ส่งผลให้โอ แฟร์เรลล์ ต้องกระเด็นออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันที่ 19 ธันวาคม ซึ่งถือเป็นการหมดยุคอย่างแท้จริง จากการที่บิลล์ โฟล์กประกาศเลิกเล่น บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ลงเล่นในนัดเทสติโมเนียลแมตช์อันทรงเกียรติก่อนวันไล่โค้ชออก 1 วัน ส่วน จอร์จ เบสท์ ก็ประกาศแขวนสตั้ดอีกครั้งในวันเดียวกัน ชาร์ลตัน ในวัย 35 ปีลงเล่นเกมสุดท้ายของเขาในนัดปิดฤดูกาล
เมนูนำทาง
ประวัติศาสตร์ของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด_(ค.ศ._1969–1986) ไม่กี่ปี หลังจากยุคบัสบี้ใกล้เคียง
ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสนาพุทธ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์จีน ประวัติศาสตร์โลก ประวัติศาสตร์สหรัฐ ประวัติศาสตร์สเปน ประวัติศาสตร์เยอรมนี ประวัติการบินไทยแหล่งที่มา
WikiPedia: ประวัติศาสตร์ของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด_(ค.ศ._1969–1986) http://www.manutd.com/en/Club/History-By-Decade/19... http://www.manutd.com/en/Club/History-By-Decade/19... http://www.manutd.com/en/Club/History-By-Decade/19... //www.worldcat.org/issn/1749-6497 http://news.bbc.co.uk/onthisday/hi/dates/stories/j...